วัดผลการตลาดออนไลน์อย่างไร ให้รู้ว่าแคมเปญสำเร็จหรือไม่?
วัดผลการตลาดออนไลน์อย่างไร ให้รู้ว่าแคมเปญสำเร็จหรือไม่?
ปัจจุบัน ธุรกิจแข่งขันกันสูงมากบนโลกออนไลน์ เจ้าของธุรกิจหรือนักการตลาดไม่สามารถทำแคมเปญและหวังผลจากการเดาสุ่มเรื่อยๆ ได้อีกต่อไปแล้ว การวัดผลที่ถูกต้องนั้น มีความสำคัญกับการตลาดออนไลน์อย่างไร วันนี้มาดูกัน
ทำไมการวัดผลถึงสำคัญกับการตลาดออนไลน์
การวัดผลการตลาดออนไลน์นั้นมีความสำคัญมาก เพราะช่วยให้ธุรกิจรู้ว่า แคมเปญการตลาดที่ทำไปนั้น ได้ผลหรือไม่ เสียเวลา เสียเงินโดยใช่เหตุรึเปล่า ซึ่งเหตุผลหลักๆ ที่การวัดผลการตลาดออนไลน์สำคัญ มีดังนี้
1. รู้ว่าอะไรได้ผล อะไรทำแล้วดี
ช่วยให้รู้ว่า โพสต์แบบไหนที่ทำให้คนสนใจ แคมเปญไหนทำไปแล้วขายดี ช่องทางไหนลงทุนไปแล้วได้ผลตอบรับกลับมาดีที่สุด
2. ควบคุมงบประมาณได้คุ้มค่า
เมื่อรู้ว่า แคมเปญไหนได้ผลตอบแทนดี หรือมี ROAS สูง สามารถเพิ่มงบตรงนั้นให้มากขึ้นและตัดงบส่วนที่ลงแล้วไม่คุ้มค่าออกไป
3. ปรับปรุงแคมเปญการตลาดได้ทันที
ถ้าดูผลแล้ว CTR ต่ำ คนดูไม่คลิก ไม่มียอดเข้ามา ก็สามารถแก้ไขคอนเทนต์ เปลี่ยนรูป ข้อความ กลุ่มเป้าหมายได้ทันที ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้จนแคมเปญจบแล้วค่อยมาวิเคราะห์ทีหลัง
4. วางแผนกลยุทธ์ระยะยาวได้แม่นยำขึ้น
ใช้ข้อมูลจากการวัดผล มาวางแผนกลยุทธ์ทำคอนเทนต์และโปรโมชันในอนาคต เพราะข้อมูลจากการวัดผลเหล่านั้น จะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้ามากขึ้น และทำการตลาดแม่นยำขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
5. แสดงความเป็นมืออาชีพ
ลูกค้าหรือนักลงทุนก็จะเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เพราะมีข้อมูลจริงมารองรับทุกการตัดสินใจ
การตลาดที่ดี ไม่ใช่วัดจากเสียงชม แต่ต้องวัดจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้น ก่อนเริ่มวัดผล ก็ต้องมีการกำหนดแคมเปญการตลาดที่มีความชัดเจน และจะวัดผลได้ชัดว่าแคมเปญนั้นจะสำเร็จหรือไม่
วิธีกำหนดแคมเปญการตลาดให้ชัดเจน
1. กำหนดเป้าหมายของแคมเปญ
ก่อนที่เราจะสร้างแคมเปญขึ้นมาแต่ละประเภท จำเป็นต้องมีเป้าหมายสำหรับการทำแคมเปญ รู้ว่าตัวเองต้อวการอะไรจากการทำแคมเปญนี้ เช่น เพิ่มยอดขาย, เพิ่มการรับรู้แบรนด์, เพิ่มผู้ติดตาม, เก็บข้อมูลลูกค้า เป็นต้น
2. ระบุกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน
ดูก่อนว่า คุณกำลังจะสื่อสารกับใคร พฤติกรรมเป็นอย่างไร มีความสนใจเรื่องอะไรบ้าง และปัญหาของลูกค้าเหล่านั้นคืออะไร เพื่อที่จะได้เจาะไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น
3. ใช้ช่องทางที่เหมาะสม
เนื่องจากแพลตฟอร์มออนไลน์ มีให้เลือกหลายแพลตฟอร์ม ถ้าต้องการขายของที่เจาะกลุ่มวัยรุ่น ก็ต้องเน้นไปที่ TikTok, IG, Reels ถ้าอยากเจาะกลุ่มแม่บ้าน ก็ต้อง Facebook เป็นหลัก และถ้าต้องการขายแบบ B2B เน้นใช้ Website, Email Marketing จะเหมาะสมกว่า
4. กำหนดระยะเวลาให้ชัดเจน
กำหนดระยะเวลาของแคมเปญให้ชัดว่า เริ่มวันไหน สิ้นสุดวันไหน วางโพสต์คอนเทนต์และยิงแอดให้ตรงตามไทม์ไลน์
5. ตั้งงบประมาณและวัดผล
ตั้งงบประมาณรายวัน หรือทั้งเดือน และอย่าลืมดูด้วยว่า จะวัดผลจากอะไร เช่น ยอดขาย, คลิก, คนเข้าชม เป็นต้น
6. มีแผนสำรองและจุดปรับปรุง
เมื่อทำโฆษณาออนไลน์ไปแล้ว ให้มอนิเตอร์เสมอ เพื่อดูว่าแคมเปญที่ทำไปนั้น ได้ผลหรือไม่ อย่างไร และถ้าไม่เวิร์ก ควรแก้ไขที่ตรงไหน มีแผนสำรองเพื่อรองรับไว้เสมอ หรืออาจจะมีการทำ A/B Testing เพื่อยิงแล้วดูว่า อันไหนดีกว่ากัน
ตัวชี้วัดสำคัญ ที่วัดความสำเร็จของแคมเปญการตลาดออนไลน์
หลังจากที่เราทำแคมเปญโฆษณาออนไลน์ไปแล้ว จำเป็นต้องมีการวัดผลการตลาดออนไลน์ ว่าที่ทำไปนั้นได้ผลอย่างไร ดีมาไหม และควรปรับปรุงที่ตรงไหน ตัวชี้วัดที่จะมาช่วยในการวัดผลแคมเปญ มีดังนี้
1. Traffic
Traffic คือ ยอดจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยยอด Traffic ส่งผลต่อการจัดอันดับบนหน้า Google ถ้ายิ่งเว็บไซต์ของเรามี Traffic ดี ก็จะมีโอกาสดันไปหน้าแรกของ Google ได้ มีโอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะมองเห็น และสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่าคู่แข่ง ข้อมูล Traffic ทำให้ทราบว่าลูกค้าของคุณมีกลุ่มใดบ้าง ลูกค้าช่วยอายุไหน เพศไหน ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์บ่อยที่สุด2. Engagement & Reach
Engagement & Reach คือ จำนวนคนที่เข้าชมและมีส่วนร่วมกับโฆษณาหรือแคมเปญของคุณ เป็นตัวชี้วัดพื้นฐานที่ธุรกิจออนไลน์จำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านี้ไว้ เพื่อมาพัฒนาคอนเทนต์ให้ดีมากขึ้น ถ้าเราเก็บข้อมูลรวบรวมมาทุก 1 สัปดาห์ ติดตามเคลื่อนไหวตลอดเวลา จะทำให้เปรียบเทียบข้อมูลได้ชัดเจนขึ้น
3. Conversion Rate
Conversion Rate คือ จำนวนอัตราส่วนคนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ และมีการกระทำใดๆ เกิดขึ้น เช่น การลงทะเบียน การลงชื่อสมัครรับข่าวสาร เป็นต้น ใช้วัดผลได้ว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากน้อยเพียงใด สามารถนำ Conversion Rate มาวิเคราะห์ เพื่อหาว่าจำนวนนั้นๆ เกิดจากช่องทางไหนมากที่สุด
4. Cost per acquisition (CPA)
Cost per Acquisition (CPA) ต้นทุนต่อการได้มาซึ่งลูกค้า/การกระทำ เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดทางการตลาดที่ใช้วัดค่าใช้จ่ายที่ธุรกิจต้องจ่าย เพื่อให้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการหนึ่งครั้งจากลูกค้า เช่น การซื้อสินค้า, การสมัครสมาชิก, การกรอกฟอร์ม เป็นต้น วิธีคำนวณ CPA คือ ค่าใช้จ่ายด้านโฆษณา/จำนวนการกระทำที่ได้จากแคมเปญ
ซึ่งตัว CPA จะช่วยวัดประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด เปรียบเทียบ ROI ระหว่างช่องทางต่างๆ และช่วยให้สามารถวางงบประมาณและการตัดสินใจว่าลงทุนช่องทางไหนดีกว่ากัน
5. Click-through rate (CTR)
Click-through rate (CTR) คืออัตราส่วนที่แสดงให้เห็นว่าผู้ที่เห็นโฆษณา คลิกเข้าไปดูมากน้อยแค่ไหน โดยมักใช้ในงานการตลาดดิจิทัล เช่น การโฆษณาบน Google, Facebook และการส่งอีเมลแคมเปญ
ทำไม CTR ถึงสำคัญ
เป็นตัวชี้วัดความน่าสนใจของโฆษณา
CTR สูง อาจบ่งบอกว่าโฆษณาเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย
CTR ต่ำ แปลว่าต้องปรับปรุงเนื้อหาโฆษณา
6. Customer Lifetime Value (CLV)
Customer Lifetime Value (CLV) หรือ มูลค่าตลอดชีพของลูกค้า คือการประมาณณมูลค่ารวมที่ธุรกิจจะได้รับจากลูกค้าหนึ่งคน ตลอดช่วงเวลาที่ลูกค้าคนัน้น มีความสัมพันธ์กับแบรนด์ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจว่าควรลงทุนกับการหาลูกค้าใหม่หรือรักษาลูกค้าเก่าดี ใช้ประเมินผลตอบแทนจากการทำการตลาด (ROI)
ึ7. ROI (Return of Investment)
ROI (Return of Investment) คือ ตัวชี้วัดที่ใช้ประเมินว่าการลงทุนหนึ่งๆ ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าหรือไม่ โดยเปรียบเทียบกำไรที่ได้กับต้นทุนที่ลงทุนไป ตัว ROI จะช่วยตัดสินใจได้ว่าควรลงทุนเพิ่มในกิจกรรมไหน เช่น โฆษณา เป็นต้น ใช้ตรวจสอบความมีประสิทธิภาพของกลยุทธ์ทางธุรกิจ
หลังจากนั้น เอาผลลัพธ์ที่ได้มา มาเปรียบเทียบกับ KPI ที่ตั้งไว้ก่อนเริ่มแคมเปญ จะช่วยให้รู้ว่า แคมเปญนี้ สำเร็จหรือต้องปรับปรุง
เครื่องมือวัดผลอะไร ที่นิยมใช้

เครื่องมือวัดผลการตลาดออนไลน์ที่นิยมใช้ มีหลากหลายเครื่องมือ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ใช้ เช่น วิเคราะห์เว็บไซต์ ติดตามแคมเปญโฆษณา หรือการดูพฤติกรรมลูกค้า และต่อไปนี้คือเครื่องมือวัดผลการตลาดออนไลน์ ที่นิยมใช้กัน
1. Google Analytics
Google Analytics คือ เครื่องมือฟรีจาก Google ที่ใช้สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เข้าชมเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน เพื่อที่เราจะได้เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ และใช้ข้อมูลที่ได้มา มาปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์และการตลาดออนไลน์ให้ดีขึ้น ในปัจจุบัน มีเวอร์ชันล่าสุดก็คือ Google Analytics 4 ที่มีระบบติดตามพฤติกรรมได้แม่นยำขึ้น
2. Google Ads
Google Ads คือแพลตฟอร์มโฆษณาออนไลน์ของ Google ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถลงโฆษณาให้แสดงต่อกลุ่มเป้าหมายที่ใช้งาน Google Search, Youtube และเว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็น Partner ของ Google ประเภทของโฆษณา ใน Google Ads ได้แก่
- Search Ads จะแสดงที่ด้านบนหรือด้านล่างของผลการค้นหา Google เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการให้ลูกค้าเจอจากการค้นหา
- Display Ads เป็นภาพหรือวิดีโอที่แสดงบนเว็บไซต์ต่างๆ ในเครือของ Google เหมาะกับการสร้าง Brand Awareness
- Youtube Ads โฆษณาบน Youtube ที่กดข้ามได้และข้ามไม่ได้ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจากพฤติกรรมการดูวิดีโอ
- Shopping Ads เหมาะกับร้านค้าออนไลน์ แสดงทั้งภาพสินค้า ราคา และชื่อร้านค้าในหน้าค้นหา
- App Campaigns โปรโมทแอปพลิเคชันมือถือผ่าน Google Search, Play Store, Youtube
3. Facebook Ads Manager
Facebook Ads Manager เป็นเครื่องมือของ Facebook ที่ช่วยสร้าง จัดการ และวัดผลโฆษณาบนแพลตฟอร์มในเครือ Meta ที่จะช่วยสร้างโฆษณา กำหนดกลุ่มเป้าหมาย กำหนดงบประมาณและระยะเวลา เลือกตำแหน่งแสดงผล และวิเคราะห์ผลโฆษณา
4. Meta Business Suite / Instagram Insights
Meta Business Suite และ Instagram Insights เป็นเครื่องมือที่ Meta พัฒนาเพื่อให้เจ้าของเพจ สามารถบริหาร จัดการ และวัดผลคอนเทนต์และโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั้งสองเครื่องมือเน้นการเข้าใจ พฤติกรรมผู้ติดตามและประสิทธิภาพของโพสต์
5. SEMrush / Ahrefs
SEMrush และ Ahrefs คือเครื่องมือวิเคราะห์การทำการตลาดออนไลน์โดยเฉพาะด้าน SEO และการวิเคราะห์คู่แข่ง ซึ่งเครื่องมือนี้ นิยมอย่างมากในหมู่นักการตลาดดิจิทัล เอเจนซี่ และธุรกิจที่ต้องการให้ SEO ดีขึ้น
วิเคราะห์และปรับแคมเปญให้ดีขึ้นอย่างไร
เพื่อให้การทำแคมเปญการตลาดดีขึ้น การวิเคราะห์และปรับแคมเปญให้ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ เราก็ต้องจำเป็นต้องดูข้อมูลหลายๆ ด้าน และค่อยปรับปรุง ซึ่งสรุปเป็นขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
1. วิเคราะห์แคมเปญเดิม
ลองวิเคราะห์แคมเปญเดิมก่อน ว่าวัตถุประสงค์ของแคมเป็ญว่าต้องการอะไร เช่น ทำไปเพื่อเพิ่มยอดขาย, สร้างการรับรู้, เพิ่มผู้ติดตามเป็นต้น และตัวชี้วัดของแคมเปญนั้นๆ คืออะไร ผลลัพธ์ที่ได้กับเป้าหมายที่ตั้งไว้ ได้ตามนั้นไหม และมาวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย ว่าเพราะอะไร ถึงไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
2. ปรับปรุงกลยุทธ์
เมื่อได้ผลลัพธ์มาแล้ว วิเคราะห์ผลลัพธ์เรียบร้อย ก็มาปรับปรุงกลยุทธ์เพิ่มเติม เช่น ระบุกลุ่มเป้าหมายชัดพอแล้วหรือยัง ข้อความในคอนเทนต์ที่สื่อไปดึงดูดได้ไหม และใช้ช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายอยู่จริงๆ ใช่ไหม เป็นต้น
3. ปรับเทคนิคการลงโฆษณา
ลองปรับเทคนิคในการลงโฆษณา เช่น นำเทคนิค A/B Testing มาทดลองหลายๆ เวอร์ชันแคมเปญ ทั้งข้อความและภาพ หรือลงปรับเวลาในลงโฆษณา เพราะบางทีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ก็ส่งผลให้ยอดผลลัพธ์ที่ต้องการลดลงได้
4. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์
ใช้เครื่องมือต่างๆ มาช่วยวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เช่น Google Analytics, Meta Ads Manager, TikTok Analytics เป็นต้น เพื่อเจาะลึกพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายให้มากกว่าเดิม
การทำการตลาดออนไลน์ ต้องมีการปรับปรุงและปรับเปลี่ยนตลอดเวลา และการวัดผลการตลาดออนไลน์ ก็จะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงแคมเปญการตลาดให้ประสบความสำเร็จ ดังนั้น ธุรกิจควรมีการวัดผลการตลาดออนไลน์ อาจจะสัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในอนาคต
Ref: https://www.mandalasystem.com/blog/th/87/digital-marketing-15102020